ค่าใช้จ่ายการผลิต (Manufacturing Cost)
ค่าใช้จ่ายการผลิต หมายถึง
ต้นทุนการผลิตที่ไม่ใช่วัตถุดิบทางตรง และแรงงานทางตรงเกิดได้หลายทาง ดังนี้
1. จากการจ่ายเงินสด เช่น
จ่ายค่าเช่าโรงงาน จ่ายค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
2. จากการปันส่วนมาจากแผนกบริการอื่น
เช่น แผนกผลิตได้รับการปันส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร มาจากแผนกอาคาร
หรือได้รับการปันส่วนค่าซ่อมแซมมาจากแผนกซ่อมแซม เป็นต้น
3. จากการปรับปรุงบัญชีในวันสิ้นงวด
เช่น จ่ายค่าเบี้ยประกันโรงงานล่วงหน้าปรับปรุงเป็นค่าใช้จ่าย
หรือปรับปรุงค่าเช่าโรงงานค้างจ่าย เป็นต้น
ค่าใช้จ่ายการผลิตแบ่งตามลักษณะของค่าใช้จ่าย
หรือแบ่งตามหน่วยงานที่เกิดค่าใช้จ่ายหรือแบ่งตามพฤติกรรมของค่าใช้จ่ายได้ดังนี้
ลักษณะของค่าใช้จ่าย
1. วัตถุดิบทางอ้อม (Indirect
Material) หมายถึง
วัตถุดิบส่วนที่ใช้ประกอบการผลิตในจำนวนเพียงเล็กน้อย
คำนวณต้นทุนต่อหน่วยที่ใช้ในสินค้าแต่ละหน่วยได้ไม่ง่าย เช่น
ตะปูที่ใช้กับโต๊ะด้ายที่ใช้เย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผงฟูที่ใช้ในการทำขนม เป็นต้น
2. แรงงานทางอ้อม (Indirect
Labor) หมายถึง
ค่าแรงของคนงานที่ให้บริการในโรงงานไม่เกี่ยวกับการผลิตโดยตรง
เป็นค่าแรงลักษณะสนับสนุนการผลิต คำนวณต้นทุนต่อหน่วยที่ใช้ในสินค้าแต่ละหน่วยได้ไม่ง่าย
เช่น เงินเดือนคนทำความสะอาดโรงงาน เงินเดือนพนักงานขับรถในโรงงาน
เงินเดือนคนงานที่ทำหน้าที่ซ่อมเครื่องมือ-เครื่องจักรในโรงงาน
รวมถึงเงินเดือนผู้จัดการโรงงาน เงินเดือนหัวหน้าคนงาน เป็นต้น
3. ค่าใช้จ่ายการผลิตอื่น (Other
Manufactured Overhead) หมายถึง ค่าใช้จ่ายการผลิตอื่น
นอกเหนือจากวัตถุดิบทางอ้อม และแรงงานทางอ้อม เช่น
ค่าเสื่อมราคา-เครื่องจักรค่าเช่าโรงงาน ค่าสาธารณูปโภคโรงงาน
ค่าเบี้ยประกันโรงงาน วัสดุโรงงานใช้ไป สิทธิบัตรตัดบัญชีและภาษีทรัพย์สินโรงงาน
เป็นต้น
หน่วยงานหรือแผนกที่เกิดค่าใช้จ่าย
1. ค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct
Cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นในแผนกผลิตโดยตรง เช่น
เงินเดือนหัวหน้าคนงานในแผนกผลิตชิ้นส่วนเป็นต้นทุนทางตรงของแผนกผลิตชิ้นส่วน
เงินเดือนคนงานแผนกซ่อมแซมเป็นต้นทุนทางตรงของแผนกซ่อมแซม เป็นต้น
2. ค่าใช้จ่ายทางอ้อม (Indirect
Cost) หมายถึง
ค่าใช้จ่ายการผลิตที่รับมาจากแผนกบริการอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กิจการมีแผนกผลิต 3 แผนก คือ แผนกชิ้นส่วน แผนกประกอบ และแผนกบรรจุ มีผูจั้ดการฝา่
ยผลิตทำหนา้ ที่ดูแลแผนกผลิตทั้ง 3 แผนก
เงินเดือนผูจั้ดการฝา่ ยผลิตเปน็ค่าแรงทางอ้อม ต้องปันส่วนให้กับแผนกผลิตทั้ง 3 แผนก หรือค่าเสื่อมราคาโรงาน
ค่าเบี้ยประกันโรงงานเป็นค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นโดยรวมทั้งโรงงาน
ต้องแบ่งให้แผนกผลิต ทั้ง 3 แผนก เป็นต้น
พฤติกรรมต้นทุนของค่าใช้จ่าย
1. ค่าใช้จ่ายการผลิตผันแปร (Variable
Factory Overhead) หมายถึง
ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิต เช่น วัตถุดิบทางอ้อม
ค่านํ้ามันเชื้อเพลิง เป็นต้น
2. ค่าใช้จ่ายการผลิตคงที่ (Fixed
Factory Overhead) หมายถึง
ค่าใช้จ่ายการผลิตที่มียอดรวมคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิต เช่น
ค่าเช่าโรงงาน ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรที่คิดโดยวิธีเส้นตรง เป็นต้น
3. ค่าใช้จ่ายการผลิตกึ่งผันแปร
(Semi-variable Factory Overhead) หมายถึงค่าใช้จ่ายการผลิตที่มีส่วนผสมระหว่างต้นทุนผันแปรกับต้นทุนคงที่
เช่น ค่าไฟฟ้าที่มีส่วนของค่าเช่าหม้อแปลงรวมอยู่ เป็นต้น ค่าใช้จ่ายการผลิตประเภทนี้
ต้องแยกออกให้ชัดเจนว่าส่วนใดเป็นต้นทุนผันแปร
และส่วนใดเป็นต้นทุนคงที่เพื่อประโยชน์ในการจัดการต้นทุน
4. ค่าใช้จ่ายการผลิตกึ่งคงที่
(Semi-fixed Factory Overhead) หมายถึง
ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการผลิตแบบขั้นบันได เช่น การเพิ่มเครื่องจักรเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตทำให้ค่าใช้จ่ายคงที่เกี่ยวกับเครื่องจักรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่าตัว
เป็นต้น
การคิดค่าใช้จ่ายการผลิตเป็นต้นทุนสินค้า
ค่าใช้จ่ายการผลิตเป็นต้นทุนของสินค้าที่คิดเป็นต้นทุนสินค้าตามวิธีสะสมต้นทุนดังได้กล่าวแล้วในบทที่
1 ขึ้นอยู่กับวิธีที่กิจการเลือกใช้
ในบทนี้จะอธิบายการคิดค่าใช้จ่ายการผลิตเป็นต้นทุนสินค้าตามวิธีต้นทุนจริงและวิธีต้นทุนปกติ
ส่วนการสะสมต้นทุนตามวิธีต้นทุนมาตรฐานจะได้เรียนในการบัญชีต้นทุน 2 ดังนี้
1. วิธีต้นทุนจริง
คิดค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นจริงเป็นต้นทุนสินค้าทั้งหมด
2. วิธีต้นทุนปกติ
คิดค่าใช้จ่ายการผลิตเข้างานเป็นต้นทุนสินค้าตามอัตราที่กำหนด
ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน (Applied Factory
Overhead Cost)
ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน หมายถึง
ค่าใช้จ่ายการผลิตที่คิดเข้างานโดยกำหนดอัตราคิดเข้างานไว้ล่วงหน้า
เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและคำนวณต้นทุน ใช้กับวิธีสะสมต้นทุนแบบปกติ (Normal Cost) เนื่องจากวิธีสะสมต้นทุนจริงนอกจากไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายการผลิตได้แล้วเมื่อสิ้นงวดบัญชียังเกิดความล่าช้าในการรวบรวมต้นทุนเพราะค่าใช้จ่ายการผลิตประกอบด้วยต้นทุนทางตรงที่เกิดขึ้นในแผนกและต้นทุนทางอ้อมที่รับปันส่วนมาจากแผนกอื่น
จึงเป็นการยากที่แผนกผลิตจะเก็บรวบรวมค่าใช้จ่ายการผลิตได้ครบถ้วนทันเวลา
ทำให้ยุ่งยากในการคำนวณต้นทุนการผลิตและไม่สะดวกที่จะสะสมต้นทุนตามวิธีต้นทุนจริง
จึงสะสมต้นทุนการผลิตตามวิธีต้นทุนปกติ
การสะสมต้นทุนตามวิธีต้นทุนปกติต้องกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานไว้ล่วงหน้า
(Predetermine
Overhead Rate) เมื่อสิ้นงวดหรือถึงกำหนดก็คำนวณค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานตามอัตราที่กำหนด
การสะสมต้นทุนวิธีนี้ช่วยให้ผู้บริหารได้ใช้ข้อมูลเพื่อควบคุมต้นทุน
และนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูงหรือตํ่ากว่าจ่ายจริง
อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน
อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานต้องกำหนดไว้ล่วงหน้าตอนต้นปี
ดังนี้
1. กำหนดระดับกำลังการผลิต
2. เลือกฐานที่ใช้ในการคำนวณ
3. ประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต
1. กำหนดระดับกำลังการผลิต (Capacity)
หมายถึง การกำหนดระดับการผลิตที่คาดว่าจะผลิตในช่วงเวลาหนึ่ง
โดยประมาณระดับการผลิตให้เหมาะสมกับความสามารถทำการผลิตของ
กิจการและความต้องการของตลาด
ระดับการผลิตแบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้
1.1
ระดับการผลิตตามทฤษฎีหรือระดับการผลิตตามอุดมคติ (Theoretical or Ideal
Capacity) คือ
ระดับการผลิตสูงสุดตั้งสมมติฐานว่าทำการผลิตตลอดปีไม่มีวันหยุด
1.2 ระดับการผลิตที่ปฏิบัติได้
(Practical or Realistic Capacity) คือ
ระดับการผลิตตามทฤษฎีตั้งสมมติฐานว่าทำการผลิตตลอดปี
โดยหักวันหยุดตามปกติรวมทั้งวันหยุดนักขัตฤกษ์และหยุดพักเครื่องเพื่อบำรุงรักษาตามความเหมาะสม
1.3 ระดับการผลิตปกติ (Normal
or Long-run Capacity) คือ ระดับการผลิตที่คาดว่าจะทำการผลิตในระยะ 3-5 ปี ตามความต้องการของตลาดหักด้วยเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเช่น
เครื่องจักรขัดข้อง หรือคนงานขาดแคลน เป็นระดับการผลิตที่ประมาณจากการวางแผนระยะยาว3-5 ปี โดยกำหนดให้มีอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตในระยะยาว เท่ากันตลอดช่วง 3-5 ปี ถึงแม้ปริมาณการผลิตจะเปลี่ยนแปลงในช่วงสั้น ๆ
แต่อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตจะเท่ากันตลอด 3-5 ปี
และปริมาณการผลิตที่กำหนดไว้จะไม่เปลี่ยนแปลง
1.4 ระดับการผลิตที่คาดว่าจะทำจริง
(Actual Expected or Short-run Capacity)คือ
ระดับการผลิตที่จะทำการผลิตจริง ประมาณการผลิตตามแผนระยะสั้นปีต่อปี
ตามความต้องการของตลาดที่อาจเปลี่ยนแปลงจากการคาดคะเนในระยะยาว
ดังนั้นอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตในแต่ละงวดอาจไม่เท่ากันเพราะระดับการผลิตที่คาดว่าจะผลิตอาจเปลี่ยนแปลงทุกงวดบัญชี
ระดับการผลิตที่ควรกำหนด
คือระดับการผลิตปกติหรือระดับการผลิตที่คาดว่าจะทำจริงเพราะเป็นระดับการผลิตที่เหมาะสมกับการปฏิบัติมากที่สุด
ให้ข้อมูลต้นทุนใกล้เคียงกับการปฏิบัติจริงมีประโยชน์ในการวิเคราะห์มากที่สุด
หากกำหนดกำลังการผลิตไม่ใกล้เคียงกับการผลิตที่จะเกิดจริงจะทำให้ต้นทุนการผลิตที่ได้ไม่สะท้อนความเป็นจริง
และเกิดผลต่างระหว่างค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานกับค่าใช้จ่ายการผลิตจ่ายจริง
ตัวอย่างที่ 1
บริษัท สว่างพัฒนา จำกัด กำหนดเวลาทำงานปกติไว้ตลอดปี 365
วัน ๆ ละ 8 ชั่วโมงหยุดพักเสาร์–อาทิตย์
วันหยุดนักขัตฤกษ์ 20 วัน/ปี วางแผนระยะยาวตลอด 5 ปี จะผลิตสินค้าจำนวน 8,750 หน่วย
และทำการผลิตจริงปีนี้ จำนวน 1,625 หน่วย (สินค้า 1 หน่วย ใช้เวลา 1 ชั่วโมง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น